19 March 2019

ประสบการณ์ว่ายน้ำ

ปีที่แล้ว ผมอายุ 25 ยังว่ายน้ำไม่เป็น เรียกได้ว่ากลัวการว่ายน้ำเลย จนวันนึง ช่วงกลางปี ผมอยากเอาชนะความกลัวตรงนี้ เลยไปลงเรียนว่ายน้ำ 10 ชั่วโมงผ่านไป ผมพอว่ายฟรีสไตล์ได้ จากนั้นก็มั่นใจเมื่อไปว่ายสระน้ำกับเพื่อนๆ แต่ก็ยังว่ายไม่แข็ง ยังกินน้ำอยู่เป็นประจำ แถมยังรู้สึกกลัวอยู่ ไม่กล้าเอาหน้าจุ่มน้ำนาน ว่ายได้พักนึงก็ต้องหยุด เพื่อไม่ให้หลอน

ผมผ่านจุดที่เรียกว่าว่ายไม่เป็นกลายเป็นว่ายเป็นแล้ว แต่มันยังไม่สุด ยังไม่สามารถว่ายติดต่อกันนานๆ ได้ส่วนนึงก็เพราะความกลัว อีกส่วนก็เป็นความกลัวเช่นกัน ว่ายแล้วยังกินน้ำอยู่ ผมอยากเอาชนะความกลัวนี้มาตลอด ตั้งใจจะหาสระว่ายน้ำว่ายประจำ แถวบ้านผมก็มีสระอยู่ แต่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ ผมใช้มันเป็นข้ออ้างที่จะไม่สมัคร เพราะใบรับรองแพทย์หายาก จนวันนึง ความหงุดหงิดของผมมาถึงขีดสุด ผมเลยหาใบรับรองแพทย์มาให้ได้ เสียเวลาไปหลายชั่วโมง ก่อนจะเจอคลินิก อยู่ใกล้บ้านแค่ปลายจมูก และผมก็ได้เริ่มสมัครตอนเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

เริ่มว่ายวันแรก ผมกินน้ำเยอะมาก มากจนเลี่ยงว่ายท่าฟรีสไตล์ ไปว่ายท่ากบ เพราะจะไม่กินน้ำ แต่ก็อยากเอาชนะมัน ก็ฝืนทนไป อาทิตย์นึงผ่านไป ผมก็แก้การพลิกหน้ากินน้ำได้ และระหว่างนี้ มีเฮียในสระทักว่าเหนื่อยเพราะหายใจผิด ผมกลั้นหายใจในน้ำ ไม่ได้ปล่อยลมซึ่งไม่ควรทำ ผมควรจะทำให้เหมือนการหายใจบนบก เมื่อหน้าขึ้นเหนือน้ำ กินลม หน้าลงน้ำ ปล่อยลมออกผ่านรูจมูก ห้ามมีจังหวะกลั้นหายใจเด็ดขาด ทำไปได้แค่วันเดียวก็เห็นผลเลย ว่ายได้อึดขึ้น ผมสงสัยอีกก็เริ่มเปิด YouTube สอนว่ายน้ำให้ถูกต้อง ก็พยายามปรับตาม ไม่ว่าจะเป็นมือพลิกข้อยังไงตอนลงน้ำ ขาตีอย่างไร หน้าควรจะมองลงพื้นเสมอ ท่ากบ จังหวะผมเพี้ยน กบต้องมีจังหวะปล่อยให้ตัวไหลด้วย ผมดันไปรีบจ้วง ก็ค่อยๆ ปรับด้วยตัวเอง

เพียงแค่ 2 อาทิตย์ ผมลืมสนิทว่าผมเคยกลัวหนักมาก่อน ความกลัวที่เคยมี ผมนึกภาพมันไม่ออกเลย เหมือนกับผมเอายางลบ ลบอารมณ์นี้จนเกลี้ยงสนิท ไม่เคยจินตนาการว่าหลังจากที่ผมก้าวข้ามความกลัวได้ มันจะเปลี่ยนรูปไปในแบบนี้

ผมว่ายได้แค่ท่ากบ และฟรีสไตล์ อยากว่ายผีเสื้อได้ด้วย จึงให้พี่ในสระช่วยสอน เริ่มที่ทำท่าตัวหนอนก่อน ซึ่งยากมาก ฝืนทำไป ค่อนข้างท้อ แต่ก็ทำทุกวัน ผ่านไปเดือนนึง เริ่มทำได้ จากนั้นก็ตีแขนผีเสื้อ อันนี้ยากที่จังหวะดีดให้พ้นน้ำและกวาดแขนออก แต่ท่าผีเสื้อมันเหนื่อย ใช้พลังมาก ผมเลยไม่ค่อยว่าย และยังไม่ได้ปรับท่าเท่ากับท่าอื่น

ท่ากบหลังจากเรียนรู้ด้วยตัวเอง คิดว่าถูกต้องแล้ว ก็ยังผิดอีก รู้ตัวหลังพี่ในสระทักมา และก็ปรับตามพร้อมดู YouTube เทียบ ส่วนท่าฟรีสไตล์ที่คิดว่าถูก ก็ยังไม่เป๊ะ มีทั้งกวักแขนขวาเบี่ยงไปซ้ายมากไป หรือ กวักมือในน้ำไม่มีแรง และกวักน้ำไม่สุดแขน

ว่ายในสระแห่งนี้ ผ่านไปร่วม 3 เดือน ผมได้งานใหม่พอดี ทำให้ไม่ได้ไปสระแห่งนี้แล้ว เพราะสระปิดทุ่มครึ่ง และผมทำงานเลิกเย็นกว่านั้น จึงไปว่ายในฟิตเนสที่เพื่อนเล่นอยู่แทน

สระแห่งนี้เล็กกว่าสระเดิม แต่ก็ต้องว่าย เพราะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ณ​ ขณะนี้แล้ว หลังจากว่ายไป พบว่าสะดวกกว่าสระเก่า เพราะคนน้อยกว่า สามารถว่ายได้ต่อเนื่อง ผมก็ได้ค้นพบความท้าทายอันใหม่ ว่ายต่อเนื่องติตต่อกันนานๆ ผมว่ายไม่ได้เลย ในช่วงแรก ว่ายได้ 3 รอบก็เหนื่อยจนต้องพัก แต่ก็ฝึกทำต่อไป

...เขียนไม่จบ ผ่านไป 3 ปี ลืมว่าจะเขียนอะไรต่อ publish ไปเลย


19 September 2015

Office 365

ปกติใช้คอมฯ Windows มาตลอดซึ่งมี Microsoft Office ติดเครื่องมาแต่ไหนแต่ไร และก็ไม่ได้คิดจะอัพเกรดรุ่น จนตอนนี้ได้ Macbook มาใช้งาน และมีงานที่ต้องใช้ PowerPoint บน Mac แต่ไม่อยากเสียเงินซื้อ แรกสุดลองใช้ Page ที่แถมมากับ Mac ลองแก้ไขแล้ว ไม่รู้จะด่า Microsoft หรือ Apple ดี โครงเละกระจุยกระจาย ไฟล์มันสร้างจาก Windows ก็คงต้องใช้ของ Microsoft โดยตรงสิ ยังไม่อยากเสียเงินอยู่ จึงใช้ของฟรีอย่าง PowerPoint Online ใช้ผ่าน Web Browser แต่ก็ต้องหัวเสียด่า Microsoft ทำมาทำไมฟะ เพราะโครงสร้างพัง ฟ้อนเละ จนต้องหาทางเลือกใหม่

Office 365 เป็น solution ที่ Microsoft ขายอยู่ตอนนี้ จากเดิมในเวอร์ชั่นก่อน ขายขาดในราคาหลายพันบาท เปลี่ยนกลายเป็นหลายทางเลือก มีทั้งจ่ายเป็น subscription ซึ่งมีจ่ายเป็นรายปี และจ่ายเป็นรายเดือน หรือซื้อขาด ตัวที่ผมสนใจ เป็นตัวจ่ายรายเดือน เพราะนานๆ จะใช้ซักครั้ง และใช้ครั้งนึงก็ไม่ถึงหนึ่งเดือน ตัวรายเดือน ตกเฉลี่ยเดือนละ 189 บาท และสามารถสมัครใช้เพียงเดือนเดียวได้

ตัดสินใจเอาทางเลือกนี้เลย การสมัครต้องผูกบัตรเครดิต เพื่อให้มันตัดเงินเองโดยอัตโนมัติ Microsoft ใจปล้ำ มีโปรสมัครครั้งแรกทดลองใช้ฟรีหนึ่งเดือน หลังจากผมสมัครเสร็จก็รีบกดยกเลิกการตัดเงินอัตโนมัติทันที กันลืมยกเลิกในภายหลัง หากเดือนไหนอยากใช้ก็ค่อยสมัครอีกครั้ง

หลังจากสมัครเสร็จ ก็ลอคอินเข้าไปที่ stores.office.com

แพกเกจที่ผมเลือกสามารถลง Office เวอร์ชั่น offline ได้หนึ่งเครื่อง เลือก Install และรอดาวน์โหลดไฟล์ ราว 1GB เมื่อแตกไฟล์ออกมา จะมีขนาดรวม 6GB กว่า มี Microsoft Word, Excel, PowerPoint และ Outlook โปรแกรมบังคับเปิด Microsoft Word หลังจากลงเสร็จทันที หลังจากนั้นก็มีหน้า login ก็ใส่บัญชีที่ใช้ซื้อไป และรอมันตรวจเช็คให้ และก็สามารถใช้งานได้ทันที

เปิดไฟล์ PowerPoint โครงสร้างก็ยังไม่สวยงาม แต่คราวนี้ไม่ใช่โปรแกรมแล้วเป็นที่ฟ้อนต์ เพราะไฟล์สร้างจาก Windows จึงไปโหลดฟ้อนมาใส่ โอเค Perfect แล้ว

ไฟล์ PowerPoint ชิ้นนี้ผมบันทึกใน OneDrive บน Windows ก่อน และมาเปิดใช้ใน Mac

ซึ่งมันก็เชื่อมต่อ OneDrive ให้โดยอัตโนมัติ และผมสามารถเลือกไฟล์​ PowerPoint ที่เคยเซฟไว้ได้ทันที นับว่าสะดวกมาก ไม่ต้องเสียจังหวะไปกด download หรือเซฟผ่าน Flash Drive

เมื่อใช้งานเสร็จ และกด save
ตัวโปรแกรมก็ทำหน้าที่ Upload ขึ้น OneDrive ให้ด้วยเลย เมื่อผมไปเปิดอีกเครื่อง มันก็ sync เป็นไฟล์ล่าสุดให้โดยอัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้ถูกใจผม เพราะไม่ต้องลง OneDrive ให้มัน Sync ไฟล์อื่นมาหนักเครื่องไปด้วย

จากนั้นผมลองเปิดไฟล์​ Excel ที่ได้เขียน Macro ไว้ดึงราคาหุ้น พบว่าสามารถใช้ฟังชั่น Macro ได้ และสามารถแก้ไข code ได้ด้วย



189 บาทต่อเดือน นับเป็นค่าเช่าพื้นที่ไฮเทคพิมพ์งาน ยิ่งหากงานที่เราทำมันทำประโยชน์ได้มากกว่า 189 บาท ยิ่งไม่ควรมีข้อกังขาเลยว่าคุ้มมั้ย แถมยังมีฟีเจอร์อื่นอีกด้วย อย่างเพิ่มพื้นที่ OneDrive หรือ Skype Call

หากเป็นนักศึกษา ก็มีสิทธิ์ซื้อ software ราย 4 ปีในราคา 2,xxx บาท เมื่อหารเป็นต่อเดือนก็ยิ่งถูกเข้าไปใหญ่

ส่วนรุ่นซื้อขาดไปเลย ราคาอยู่ที่ 3,xxx บาท อันนี้ก็เป็นทางเลือก แต่ผมว่ามันไม่คุ้ม เพราะ Office มันอัพเดตทุกปี ซื้อแบบ subscription จะได้สิทธิ์อัพเดตสม่ำเสมอ แถมจะยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ด้วย

อวยมาขนาดนี้ก็เพราะของมันตอบโจทย์ได้ดี แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย ที่สัมผัสได้ก็เป็นเรื่องที่มันต้องต่อเน็ต ผมลองใช้ผ่านร้าน Internet และเจอจังหวะเน็ตหลุดทำให้เข้าถึงไฟล์ไม่ได้ อันนี้ก็เป็นความยากลำบากของชีวิตไปแล้วกัน

23 August 2015

สิ่งที่ Mac แตกต่างกับ Windows

 ตั้งแต่เด็กจนโต ใช้ Windows PC มาตลอด จะได้สัมผัส Mac ก็ตอนเข้าไปเล่นในร้าน iStudio แต่ก็รู้ได้แค่แบบผิวเผิน จนตอนนี้ทำงานด้าน programming ทางบริษัทให้ Macbook Pro มาเป็นคอมประจำตัว กว่าจะชินกับมัน ก็ใช้เวลาร่วมอาทิตย์ และอยากบันทึกข้อแตกต่างในแง่ผู้ใช้งาน ของทั้งสอง OS โดยจะระบุว่าสิ่งไหน Mac OS มีและ Windows ไม่มี เปรียบเทียบจาก Windows 10 และ Yosemite

ใช้ 2 นิ้วแตะ เพื่อ Right Click

Mac จะมาพร้อมกับ Trackpad ซึ่งเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมกว้างๆอันเดียว ไม่มีปุ่มเสริมระบุว่าคลิกซ้ายหรือคลิกขวา และใช้ 2 นิ้วแตะพร้อมกัน เพื่อเรียกเมนูเสริมขึ้นมา

ไม่รู้จัก Middle Click

ฟังชั่นนี้ผมใช้บ่อยใน Windows ใช้กด link ใน web browser เพื่อเปิด tab ใหม่ใน background ใน Mac ไม่มีฟังชั่นนี้ หากต่อเมาส์และกด Middle Click มันจะไม่ตอบสนองเลย

ปุ่ม Command คือพระเอกสำหรับกด shortcut

จากบน Windows เราใช้ Ctrl+A เพื่อคลุม Text ทั้งหมด Ctrl+C เพื่อ Copy ในขณะที่โลกของ Mac จะใช้ตัว Cmd แทนเลือกทั้งหมดก็ใช้ Cmd+A,หรือ Copy ก็ใช้ Cmd+C  และความแตกต่างอีกอย่าง คือ ที่วางปุ่ม อยู่สลับที่กัน ปุ่ม Cmd อยู่แทนที่ Alt ของ Windows และ Shortcut บางตัวก็แตกต่างไปเลย เพราะบน Mac มีปุ่ม Control ของตัวเองด้วย

เปลี่ยนภาษาโดยการกด Cmd+Space เท่านั้น

ไม่มีการเปลี่ยนภาษาโดยใช้ปุ่มเดียวอย่าง Grave Accent แบบ windowsหากอยากใช้ Grave Accent ต้องลง plugin เสริม

ไฟล์ Directory เรียบง่าย

File Explorer ในโลก Windows กลายเป็น Finder ในโลกของ Mac ไม่มีการแบ่งเป็น Drive C, Drive D มีเพียงแค่ Folder อย่าง download, documents และไม่สามารถเข้าถึง directory ที่ใช้ลงโปรแกรมได้ง่ายๆ ต้องเปิด hidden files mode ผ่าน command line


ย่อ/ขยายหน้าต่าง/ซ่อน อยู่ฝั่งซ้ายมือบน

ใน Windows มีแค่ฟังชั่น 3 ตัว minimize/maximize/close ในขณะที่ Mac มีมากกว่านั้นทั้ง 3 ปุ่มคือ minimize/presentation mode/quit ในขณะที่เราสามารถประยุกต์ใช้ฟังชั่นอื่นดังนี้ มีทั้ง minimize/hide/zoom/close/presentation mode/quit ถือว่าซับซ้อนกว่ามาก แต่ก็เพื่อความยืนหยุ่น โดย minimize เป็นการย่อลง task bar ข้างล่างด้านขวามือ hide จะเป็นการซ่อนโปรแกรมใน background ส่วน zoom จะเป็นการขยายหน้าต่างให้เต็มจอ หรือบางครั้งเกือบเต็มจอ close จะปิดหน้าต่างนั้นทิ้ง ซึ่งบางครั้งจะเหลือข้อมูลไว้ใน Ram ส่วน presentation mode คือ full screen โดยการสร้าง virtual desktop ใหม่เลย และท้ายสุด Quit อันนี้ปิดโปรแกรมแบบจริงจัง ออกจากโปรแกรมแน่นอน

Toolbar menu ที่สม่ำเสมอ

ทาง Mac OS จะมีแถบบอกสถานะไว้ขอบจอบนเสมอ และมี menu อาทิ file edit window สำหรับทุกโปรแกรม ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามโปรแกรม ถ้าต้องการ settings โปรแกรม ไม่ว่าโปรแกรมไหน ก็จะอยู่ที่เดียวกัน ไม่เหมือน Windows ที่บางโปรแกรมมี toolbar บางโปรแกรมซ่อนไว้


ไฟล์สำหรับลงโปรแกรมนามสกุล .dmg

ในโลกของ Windows เราแค่ดาวน์โหลด exe และ Double Click กด Next ไปเรื่อยๆ ในขณะที่ Mac ไฟล์สำหรับลงโปรแกรมจะมาในรูปนามสกุล .dmg หรือ คล้ายกับเราดาวน์โหลดแผ่น CD มา(การทำงานเหมือนไฟล์ .ISO) เมื่อเปิด install ทาง Mac จะจำลอง Drive เหมือนใส่แผ่น CD และลงโปรแกรมโดยการลากไฟล์เข้า Application folder ไม่ต้องสนใจว่าไฟล์จะอยู่ Drive ไหนเลย ความยุ่งยากมีอีก เมื่อลงโปรแกรมเสร็จ ต้อง unmount disk ที่เพิ่งใช้ลงโปรแกรม

External Storage ผ่าน Desktop

ทุกครั้งที่เสียบ flash drive หรือ SD Card ทาง Mac จะสร้าง Drive ไว้บน Desktop ไม่เหมือนกับ Windows ที่อยู่ใน My Computer

Mission Control

ทาง Mac มีโหมด Mission Control กดเพื่อดูหน้าต่างที่เปิดไว้ทั้งหมดเป็นภาพรวม แต่ก่อน Windows 8.1 ย้อนหลังไป ของ Windows ยังไม่มีโหมดนี้ เพิ่งมีใน Windows 10 เรียกว่าโหมด Task View

ไม่มี Snap to Grid

บน Windows เราสามารถลากหน้าต่างไปชนขอบซ้าย หรือขอบขวา desktop และหน้าต่างจะเปลี่ยนทรงให้อยู่ในรูปครึ่งจอ แต่ทาง Mac ยังทำในส่วนตรงนี้ไม่ได้

22 August 2015

PBT Keycap for Mechanical Keyboard

เมื่อปีก่อน ประกอบคอมฯให้เพื่อน สั่ง Mechanical Keyboard ของ Razor รุ่น Ultimate ราคาราว 5,000 บาท ลองใช้แล้ว ความรู้สึกสัมผัสไม่เหมือน Ducky ที่ใช้ที่บ้าน แต่ระบุไม่ได้ว่ามันต่างกันที่อะไร เชื่อว่า switch ข้างใต้ก็เป็นมาตรฐานใกล้เคียงกัน

งุนงงสงสัยเป็นเวลาหลายเดือนจนบังเอิญได้เจอบทความนี้ [CR]Review : ศึก Mechanical Keyboard 10 ตัว คียบอร์ด Mechanical ศึกมูลค่าครึ่งแสน ใครจะอยู่ ใครจะไป มาชมกันครับผม อธิบายถึง PBT Keycap ว่ามันเป็นพลาสติกแบบแข็งพิเศษ หนากว่าและให้ความรู้สึกด้าน ส่วน Keycap ที่มากับ Mechanical Keyboard ปกติมันเป็นพลาสติกแบบ ABS และเมื่อใช้ไปนานๆ ผิว Keycap จะมันวาว ให้ความรู้สึกเหนอะติดนิ้ว โอ้โห มันมีรายละเอียดส่วนนี้ด้วย

สีขาว: ปุ่ม PBT | สีดำ: ปุ่ม ABS

เห็นความแตกต่างของพลาสติก ทำให้เข้าใจแล้วว่าสัมผัสที่แตกต่างกันระหว่าง Razor และ Ducky ของ Razor เป็นพลาสติกเคลือบยางพิเศษ

เมื่อ สมองจิตสำนึกเข้าใจถึงแตกต่างของพลาสติก ต่อมจิตใต้สำนึกก็แสดงความรู้สึก อยากได้ PBT มาลอง ตรวจสอบราคาในอินเตอร์เน็ตพบว่าราคาตกอยู่ที่ชุดละ 1,990 บาท เพราะเป็นแค่พลาสติก คาดหวังว่ามันไม่น่าแพงมาก มันแค่พลาสติกไม่มีวงจรฝังอยู่ เรียกได้ว่าราคาเฉลี่ยปุ่มละ 20 บาท แต่ไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกอยากของตัวเองได้ ก็ต้องจำยอมและเดินทางออกไปตามล่าซื้อ






ได้ จากร้าน P&Y พันทิพย์ประตูน้ำKeycap แบบ PBT เหลืออยู่สีเดียว หวานเย็นมาก ถามว่าเมื่อไหร่ของจะเข้า ทางร้านบอกว่าของเข้าเป็นล็อตๆ ไม่แน่นอน จำยอมซื้อมา เพราะอยากรู้สัมผัสมันจริงๆ


ทำการแกะปุ่มของเก่าทำความสะอาดและก็ได้แล้ว คีย์บอร์ดหวานเย็น



ใช้งานจริง

ความรู้สึกสัมผัสแตกต่างจากเดิม อย่างแรก ปุ่มสากด้าน แห้ง เหมือนยืนอยู่บนพื้นแห้งเทียบกับพื้นน้ำเจิ่งนอง ถัดมาเป็นเรื่องของเสียงสัมผัสได้ว่าทุ้มกว่าเดิม ซึ่งมโนไปเองได้ว่ามันเท่กว่า เหมือนความชื่นชมกับนักร้องชายที่มีโทนเสียงทุ้ม สุดท้ายเป็นความรู้สึกแน่น ปุ่มสะท้อนเด้งกลับมาหนึบหนับกว่า ให้ความรู้สึกไม่กลวง เหมือนเคาะกระเบื้องที่ทายาแนวรองใต้กระเบื้องแน่นๆ  แต่ปุ่ม PBT ชุดนี้มันไม่ปล่อยให้แสงลอดผ่าน เดาว่าเพราะพลาสติกชนิดนี้ไม่สามารถทำให้ใสได้ จึงทำให้เทียบเท่าใช้คีย์บอร์ดแบบไม่มีแป้นบอกตัวหนังสือเลย

ใน แง่ความคุ้มค่าถือว่าแพงมาก ยิ่งมองในแง่การใช้งาน ยิ่งไม่คุ้ม เพราะคีย์บอร์ดราคา 200 บาท หรือราคา 5,000 บาท ตัวอักษรที่กดบนแป้น  กับตัวอักษรที่แสดงบนหน้าจอก็ยังเป็นตัวเดียวกัน ไม่เหมือนหูฟัง ตัวแพงให้เสียงที่ชัดเจนกว่า แต่สิ่งที่ mechanical keyboard ให้ได้คือความรู้สึก จะเป็นแค่ความรู้สึก หรือตั้งความรู้สึก ก็เป็นสิ่งที่แต่ละคนให้ค่าไม่เหมือนกัน สำหรับผม ซื้อมาถึงขนาดนี้ ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกพิมพ์ มันเป็นถึงความรู้สึก ให้เหตุผลกับตัวเองว่าต้องสัมผัสอยู่กับคีย์บอร์ดเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน รับได้


เพิ่มเติม

หลังจากพิมพ์บนคีย์บอร์ด PBT ไปพักนึง ลองกลับไปใช้คีย์บอร์ดอื่นที่เป็น ABS สัมผัสได้ถึงความแตกต่าง ปุ่มคีย์บอร์ดมีความรู้สึกเหนอะหนะแบบชัดเจนยิ่งขึ้น นิ้วผมถูกสปอยเรียบร้อย

02 April 2015

Bluetooth Keyboard ภาษาไทยสำหรับ Android

ณ วันที่เขียนนี้ Android ยังไม่ได้รองรับการพิมพ์ภาษาไทยผ่าน Bluetooth Keyboard อย่างเป็นทางการ ทำให้เมื่อเชื่อมต่อ Bluetooth Keyboard จะพิมพ์ได้แค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น เพื่อให้ใช้ได้ต้องลงแอพเสริม ยังดีที่มีนักพัฒนาชาวไทยพัฒนาแอพพิมพ์ไทยผ่าน Bluetooth Keyboard ขึ้นมา

Hardware Thai Keyboard | Play Store

โหลดแอพมาและ โดยเปลี่ยน Keyboard เครื่องให้เป็น Gadgetdoor Thai Keyboard (ชื่อทางการของ Hardware Thai Keyboard) ซึ่งทำได้ดังนี้
> Settings
> Language & input
> Current Keyboard
> Gadgetdoor Thai Keyboard



แต่เมื่อเลิกใช้ Bluetooth Keyboard และต้องการเปลี่ยนกลับไปใช้ Keyboard แบบเดิมต้องเข้าดังนี้
> Settings
> Language & input
> Current Keyboard
> Google Keyboard

มันใช้ได้แต่มีหลายขั้นตอน อยากได้อัตโนมัติมากกว่านี้ ต้องการตัดความยุ่งยากให้เหลือเพียงแค่เชื่อม Bluetooth และขั้นตอนอื่นทำให้อัตโนมัติ แก้ได้ดังนี้

ก่อนอื่นโหลด 2 โปรแกรมนี้มา

Tasker | Play Store
Tasker เป็นโปรแกรมสั่งทำงานด้วยตัวเองตามเงื่อนไขที่เราระบุ
ในที่นี้เราจะตั้งว่าทุกครั้งที่เชื่อมต่อ Bluetooth กับ Keyboard ให้เปลี่ยน Default Keyboard

Secure Settings | Play Store
Secure Settings เป็นตัว plugin เสริมความสามารถให้ Tasker
เนื่องจาก Tasker เลือกคีย์บอร์ดเองไม่เป็น ต้องใช้ Secure Settings ช่วยเลือก Keyboard ให้

ขั้นตอน

ก่อนอื่นให้ตั้งเงื่อนไข เมื่อใดที่มือถือมีการต่อ Bluetooth เข้ากับ Keyboard
  1. กด + ขวาล่าง
  2. เลือก Net
  3. เลือก BT Connected
  4.  เลือกชื่อและ Address โดยกดที่รูปแว่นขยายด้านหลังและเลือก




จากนั้นให้เลือกงานที่ต้องทำ หลังจากที่มือถือต่อ Bluetooth เข้ากับ Keyboard  ในที่นี้ก็คือการเปลี่ยน Current Keyboard ให้เป็น Gadgetdoor Thai Keyboard

  1.  กด New Task และตั้งชื่อ Ext Keyboard
  2. กด +
  3. เลือก Plugin และ Secure Settings
  4. กด รูปดินสอ
  5. ไปที่ System+ และเลือก Input 
  6. เลือก Gadgetdoor และกด save






ณ ตอนนี้ทุกครั้งที่ต่อ Bluetooth เครื่องเราก็จะเปลี่ยนเป็น Gadgetdoor Keyboard แต่เมื่อเปลี่ยนกลับ มันยังไม่เปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ดเดิมให้ ต้องทำดังนี้
  1. กดค้างที่ชื่อ Ext Keyboard และเลือก Add Exit Task
  2. ตั้งชื่อ Int Keyboard และทำเหมือนข้างบนเลย เพียงแต่เปลี่ยนขั้นตอนสุดท้ายเป็น Google Keyboard (หรือ คีย์บอร์ดอื่นที่คุณใช้)


ทำขั้นตอนนี้เสร็จก็เรียบร้อยชีวิต การใช้ Bluetooth Keyboard ของเราก็จะง่ายขึ้น ตัดขั้นตอนทิ้งไปเหลือเพียงแค่ต่อ Bluetooth เท่านั้น

    06 January 2015

    เขียน Android App เริ่มจาก 0

     ใช้ข้อมูลที่หาได้จากอินเตอร์เน็ต
    1. ดาวน์โหลด Android Studio
    2. ทำความเข้าใจ Java Programming - แนะนำให้อ่าน Head First Java เฉพาะ Chapter 1-11
    3. ทำความเข้าใจ XML 
    4. เรียนรู้ Library ของ Android โดยการทดลองเขียนโปรแกรมตาม Tutorial
      1. เว็บนี้สอนเข้าใจง่าย
      2. เว็บ Official ของ Android
      3. google
    5. ลองเขียนได้เลย

    03 January 2015

    บำรุงรถยนต์ ตามระยะทาง

    รถยนต์ของคุณอาจมีการเข้าตรวจสอบเป็นประจำ แม้อู่ของคุณมีความเชี่ยวชาญแต่ช่างก็ยังเป็นคนธรรมดา บางครั้งช่างมองข้ามสิ่งที่จำเป็นต้องตรวจ อาจจะเพราะเหนื่อย ลูกค้าเยอะ อย่าไปว่าเค้า อย่างน้อยเรามี Checklist เป็นอาวุธคู่กาย รายชื่อนี้ผมลิสต์ให้เป็นแบบอย่างย่อ ถ้าต้องการแบบละเอียดสามารถอ่านได้ที่คู่มือรถของคุณ ผมเรียงรายชื่อจากน้อยไปหามาก ตามระยะทาง/ระยะเวลาการใช้งาน โดยมีสัดส่วน 10,000 กิโลเมตร = 6 เดือน
    • 10,000 กิโลเมตร | 6 เดือน
      • น้ำมันเครื่อง
      • กรองเครื่อง
    • 20,000 กิโลเมตร | 1 ปี
      • ผ้าดิสเบรค (ล้อหน้า)
      • ดรัมเบรค (ล้อหน้า)
    • 12 เดือน
      • ยางปัดน้ำฝน
    • 30,000 กิโลเมตร | 1 ปีครึ่ง
      • ดอกยาง
    • 2 ปี
      • แบตเตอรี่
    • 40,000 กิโลเมตร | 2 ปี
      • กรองเชื้อเพลิง
      • น้ำยาหล่อเย็นเครื่องยนต์
      • กรองอากาศ
      • น้ำมันเบรค
      • หัวเทียน
      • จานเบรค (ล้อหน้า) 
      • ผ้าดิสเบรค (ล้อหน้า)
      • ดรัมเบรค (ล้อหลัง)
      • สายพานต่าง
    • 50,000 กิโลเมตร | 2 ปีครึ่ง
      • โช๊คอัพและบุ๊ชช่วงล่าง
    • 80,000 กิโลเมตร | 4 ปี
      • ผิวผ้าแผ่นคลัช (ล้อหลัง)
    • 100,000 กิโลเมตร | 5 ปี
      • สายพานไทม์มิ่ง
      • ยางหุ้มเพลาขับ